ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป  
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
นายก อบจ.ขอนแก่น

นายพงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์
นายก อบจ.ขอนแก่น

เมนูหลัก
ทำเนียบ

 

Office356

โรงเรียนสังกัด อบจ.ขอนแก่น

ระบบสมาชิก
Username :
Password :
[ สมัครสมาชิก ] | [ ลืมรหัสผ่าน ]
สมาชิกทั้งหมด 8 คน
สมาชิกที่กำลังออนไลน์ 0 คน


  

   เว็บบอร์ด >> ห้องนั่งเล่น >>
ศึก "แดงเดือด" ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จบลงด้วยชัยชนะของ ลิเวอร์พูล  VIEW : 914    
โดย E

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 37
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 4
Exp : 93%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 37.120.151.xxx

 
เมื่อ : พุธ ที่ 22 เดือน มกราคม พ.ศ.2563 เวลา 18:17:24   

 

 

ศึก "แดงเดือด" ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา จบสิ้นลงด้วยความมีชัยของ หงส์แดง ด้วยสกอร์ 2-0 รวมทั้งทำให้ในตอนนี้ "เดอะ เร้ดส์" ทำสกอร์ฉีกหนี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปไกลถึง 16 คะแนน แถมทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 30 แต้มอย่างยิ่งจริงๆ
ฟอร์มการเล่นของ "ลิเวอร์พูล" ในแมตช์นี้จะต้องกล่าวว่าดีเด่นอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาพากเพียรไล่บดขยี้ "ผีแดง" รวมทั้งมาได้ประตูจาก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งประตูของ "บังโม" ถือได้ว่าเป็นการปลดล็อกเขาภายหลังไม่เคยทำประตู แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมลีกได้เลยนับจากเล่นหงส์แดง

ในตอนนี้กลุ่มของที่ปรึกษาพบร์เก้น คล็อปป์ เหลือการแข่งในลีกอีก 16 แมตช์ แล้วก็ด้วยคะแนนที่นำห่างขนาดนี้ แน่ๆว่าสาวก "เดอะ ค็อป" เริ่มฝันถึงการครองแชมป์ลีกยุคแรกที่พวกเขาเผ้าคอยรอมานานร่วม 3 ทศวรรษ

1. ฟาน ไดค์ เข้มแข็งทั้งยังรุก และก็รับ
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ทำให้เห็นว่าเขาเป็นกองข้างหลังที่อดทน และก็คู่ควรกับคำว่า เซนเตอร์แบ็กที่เก่งที่สุดในโลกยุคนี้ โดยในเกม "แดงเดือด" คราวนี้เป็นการตอกย้ำซ้ำเติมคำบอกเล่าดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วได้อย่างเด่น เมื่อเจ้าตัวระเบิดฟอร์มยอดเยี่ยมคุ้มกับค่าจ้าง 75 ล้านปอนด์อย่างแท้จริง

ป้อมปราการข้างหลังเลือดชาวฮอลแลนด์ สามารถจัดแจงกับเกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้อยู่มือ โดยอีกทั้ง อองโตนี่ย์ มาร์กสิยาล และก็ แดเนี่ยล เจมส์ ไม่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาให้กับเจ้าตัวได้เลย ที่เด็ดไปกว่านั้นก็เป็นการที่นักฟุตบอลชอบขึ้นไปเพิ่มเติมเกมบุกครั้งใดก็ตามกลุ่มได้ลูกตั้งเตะ

จังหวะที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โชว์ความเที่ยงตรงสำหรับเพื่อการเปิดลูกเตะมุม โดย ฟาน ไดค์ ถูกตามตามติดจาก เฟร็ด แล้วก็ กางรนดอน วิลเลี่ยมส์ แม้กระนั้น เซนเตอร์แบ็กกลุ่มชาติฮอลแลนด์ สามารถวิ่งแหวกทั้งคู่คนขึ้นไปโหม่ง ตอนที่ แฮร์รี่ แม็กแกว่งร์ ทำอะไรไม่ถนัดเนื่องจากว่าโดน โจ โกเมซ บล็อกเอาไว้

ที่เด็ดไปกว่านั้นก็เป็นการที่ ฟาน ไดค์ เล่นร่วมกับ โกเมซ ในแผงแบ็กโฟร์ ช่วยทำให้ปรับ "เดอะ เร้ดส์" ไม่เสียประตูในเกมลีกเป็นนัดหมายที่ 7 ต่อเนื่องกันแล้ว งานนี้น่าจะเป็นการส่งสัญญาณไปยัง พบร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมฟุตบอลว่าในขณะนี้เขามีคู่ขาเซนเตอร์แบ็กที่พอดีจริงๆ


2. ซาลาห์ ปลดล็อก "แดงเดือด"
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สามารถทำประตูกลุ่มไหนก็ได้เว้นเสียแต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเขายังไม่มีช่องทางได้จ่ายบอลเข้าไปซุกตูดตาข่าย "ภูติผีปีศาจแดง" เลยตั้งแต่แมื่อที่เล่นให้ "เดอะ เร้ดส์" ซึ่งเกมนี้ "บังโม" ได้โอกาสหยุดสถิติดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว บ่อยมาก แม้กระนั้นเจ้าตัวดันขาดความเฉียบคม

เกมนี้จำเป็นต้องสารภาพว่าเจ้าของบ้านสร้างช่องทางสำหรับการทำคะแนนได้หลายต่อหลายคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ผ่านบอลมาที่หน้าประตู แต่ว่า ซาลาห์ ดันยิงไม่ดีบอลออกเสาไกลไปเฉย อย่างไรก็แล้วแต่ คล็อปป์ ยังคงเชื่อใจให้เจ้าตัวอยู่เล่นต่อ รวมทั้งเลือกที่จะถอด โรกางร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับ ซาดิโอ มาเน่ ออกในช่วงท้ายเกม

งานนี้ นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช คิดถูกเพราะว่าในช่วงต่อเวลาพิเศษเจ็บนาทีในที่สุด ซาลาห์ ได้บอลเปิดยาวมาจาก อลีสซง เบ็คเกอร์ ก่อนที่จะวิ่งเต็มสปรีดฉีกหนี แดเนี่ยล เจมส์ แล้วก็เข้าไปตะบันประตูลอดหว่างขา ดาบิด เด เคอา ทำให้ "ลิเวอร์พูล" ขึ้นนำ 2-0 ได้อย่างยอดเยี่ยม

สำหรับเดี๋ยวนี้ ซาลาห์ ซัดไปแล้ว 11 ประตูในเกมลีกฤดูนี้ โดยพอๆกับ มาเน่ ในฐานะดาวซัลโวร่วมของกองทัพ "ลิเวอร์พูล" แล้วก็งานนี้มีความน่าจะเป็นสูงว่า สตาร์ลูกหนังกลุ่มชาติอียิปต์ จะระเบิดฟอร์มตะบันตาข่ายคู่ปรปักษ์โดยตลอดในเกมต่อๆไป ข้างหลังนักฟุตบอลเริ่มมีความเชื่อมั่นและมั่นใจเป็นสองเท่า

3. เฟร็ด ฟอร์มเด่นจริง
คนไม่ใช่น้อยบางครั้งอาจจะดูแคลนว่า เฟร็ด เป็นบราซิลเซิ่นเจิ้น ในตอนก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา แม้กระนั้น ดาวเตะเลือดแซมบ้า ปรับปรุงฝีเท้าขึ้นมาโดยตลอด รวมทั้งเป็นตัวหลักของ โอเล่ กุนทุ่งนาร์ โซลชา ในยามที่กลุ่มขาดมิดฟิลด์ชั้นเยี่ยมอย่าง ปอล ป็อกบา แล้วก็ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์


ในแมตช์นี้ เฟร็ด พิสูจน์ให้มองเห็นแล้วว่าเขามีค่าคู่ควรที่กำลังจะได้เป็นตัวจริง โดยเจ้าตัวเล่นด้วยการตั้งใจ ขยันไล่บี้ดินแดนกึ่งกลางหงส์แดง และก็บากบั่นที่จะหาช่องทางสำหรับในการยิงไกลในบางจังหวะ ซึ่งแน่ๆว่านี่เป็นฟอร์มการเล่นที่สาวก "ผีแดง" รู้สึกจับใจพอควร

อย่างไรก็ดี การที่คู่คิดดินแดนกึ่งกลางของ เฟร็ด ดันเป็น อันเดรียส เปเรยร่า ซึ่งเล่นได้ตกอับสุดๆที่แทบจะไม่มีส่วนร่วมอะไรกับกลุ่มมากสักเท่าไรนัก ทำให้การติดต่อประสานงานในดินแดนกึ่งกลางของพวกเขาไม่สามารถที่จะสู้กับ จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่เต็มไปด้วยกำลังวังชาได้

กระนั้นถ้าหากดูในทางบวกขั้นต่ำๆเฟร็ด ก็เบาๆปรับปรุงฟอร์มขึ้นมาเรื่อยรวมทั้งน่าจะเป็นตัวหลักของกองทัพ "ภูติผีแดง" ในอนาคต

4. อลีสซง หล่อดับเบิ้ลหล่อ
คนไม่ใช่น้อยต่างทราบคำเล่าลืออำนาจของ อลิสซง เบ็คเกอร์ ว่าเป็นผู้เฝ้าประตูที่ใช้เท้าก้าวหน้าเท่าๆกับมือ รวมทั้งแน่ๆว่าในเรื่องเกี่ยวกับการคุ้มครองประตู เจ้าตัวได้รับการการันตีจากผลงานระดับมาสเตอร์พีซหลายๆเกม ไม่งั้นอาจมิได้รับรางวัลส่วนตัวเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรางวัล "ยาคุ้นชิน โทรฟี้" รายปี 2019 ฯลฯ

สำหรับแมตช์นี้จำต้องเห็นด้วยว่า ฟาน ไดค์ กับ โกเมซ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทำให้ อลีสซง เกือบจะมิได้ออกแรงคุ้มครองป้องกันประตูมากเท่าไรนัก แม้กระนั้น เจ้าตัวก็ช่วยกลุ่มเซฟงามๆในบางจังหวะยกตัวอย่างลูกยิงไกลของ อันเดรียส เปเรยร่า ในช่วงท้ายครึ่งแรก รวมทั้ง เฟร็ด ตอนช่วงหลัง

แน่ๆว่าการที่ หงส์แดง มี อลีสซง ยืนเฝ้าเสาประตูทำให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจ ด้วยเหตุว่าอย่างต่ำๆกลุ่มมั่นอกมั่นใจได้ว่าจังหวะที่จะเสียประตูในจังหวะที่ไม่น่าเสียมีเปอร์เซนต์น้อย แถมเจ้าตัวยังมีทีเด็ดในหัวข้อการใช้เท้าด้วย โดยยิ่งไปกว่านั้นสำหรับในการเปิดบอลให้สหายร่วมกลุ่ม

ส่วนทีเด็ดอีกอย่างของ อลีสซง ก็คือการเปิดบอลที่แม่น เกมนี้เขาบ่งบอกถึงถึงความถนัดในหัวข้อนี้ ด้วยการเตะบอลยาวให้กับ "บังโม" ควบไปกดประตูตอกฝาโลงศพในตอนทดเจ็บนาทีท้ายที่สุด แถมยังลำพองใจสาวก "เดอะ ค็อป" ด้วยการวิ่งจากฝั่งประตูตนเองไปสังสรรค์ประตูกับ ซาลาห์ ถึงมุมธงฝั่ง "ผีแดง"

ในช่วงเวลานี้ นายทวารกลุ่มชาติบราซิล เปลี่ยนเป็นผู้เฝ้าประตูคนแรกของหงส์แดง ที่ทำแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีก ได้เสร็จตั้งแต่แมื่อที่ เปกระเป๋า เรน่า สมัยก่อนโกลชาวสแปนนิช ของ "เดอะ เร้ดส์" เคยทำเป็นในเกมปะทะกับ "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ เมื่อแทบทศวรรษก่อนหน้านี้

5. หงส์แดง นำไกลห่างสุดกู่
ไม่เคยรู้ว่าคือเรื่องของชะตาชีวิตฟ้าลิขิตหรือไม่ เพราะว่าก่อนเกม "แดงเดือด" จะเปิดตัวปะทะหน้าแข้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ เลสเตอร์ สิตี้ ดันสะดุดอย่างน่าเกินจริง ในรายของ "เรือใบสีฟ้า" ดันเสียท่าถูก คริสตัล พาเลซ ตีเสมอ 2-2 ในตอนนาทีในที่สุด เวลาที่ "เดอะ ฟ็อกซ์" อาการหนักกว่าแพ้ เบิร์นลี่ย์ 1-2 เฉย

ดังนั้นแมตช์นี้ คล็อปป์ คงจะสั่งให้ผู้ร่วมทีมย้ำเต็มกำลัง เนื่องจากการเก็บ 3 คะแนนได้ ซึ่งนี่ก็แปลว่าการฉีกหนีคู่ปรับแย่งแชมป์ลีกไปไกลถึง 16 และก็ 19 คะแนนเป็นลำดับ พร้อมกับแข่งขันน้อยกว่า 1 นัดหมาย โดยผลที่ได้รับจากการแข่งขันเป็นไปตามนายใหญ่ชาวเยอรมันอยากได้ แล้วก็โน่นทำให้ทางสำหรับการได้แชมป์ลีกสูงสุดยุคแรกในรอบ 30 ปีค่อนข้างจะแจ่มใสอย่างยิ่ง


แน่ๆว่าการมองเห็น หงส์แดง คู่พิพาทร่วมชาติกำลังจะก้าวไปสู่บัลลังก์แชมป์ลีกที่พวกเขาเคยครองมากมายว่าตอน 2 ทศวรรษเกิดเรื่องที่น่าปวดจริงๆแม้กระนั้นที่ยิ่งตกอับกระทั่งสาวก "เร้ด อาร์มี่" รับมิได้ก็คือการเห็น แมนฯ ยูไนเต็ด มีแต้มตามหลัง "ลิเวอร์พูล" ถึง 30 คะแนน !

ดังนี้สิ่งที่จะยิ่งซ้ำเติมความเจ็บให้กับเหล่าแฟนบอล "ผีแดง" ทั่วทั้งโลก ก็คือการเห็น หงส์แดง เถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีก แบบไม่มีพ่ายแพ้ กับกระบวนการทำแต้มสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์แวดวงลูกหนังเมืองผู้ดี เพราะฉะนั้นในตอน 16 แมตช์ที่เหลืออยู่ แมนฯ ยูฯ อาจจะหวังมองเห็น "เดอะ เร้ดส์" สะดุดซักเกมสองเกม อย่างๆน้อยก็เพื่อความสงบสุขในหัวใจของสาวก "เร้ด อาร์มี่"

 

สนับสนุนโดยเว็บไซต์ เกมส์